
Marketing GURU ที่ปรึกษาธุรกิจ แผนธุรกิจ ชั้นนำของประเทศ ในยุค Disruption
Marketing Guru Association MGA ที่ปรึกษาธุรกิจ ประเภท A 821 กระทรวงการคลัง
ทำแผนธุรกิจ บูรณาการ Business Model นำไปใช้ได้จริงได้ผลรวดเร็ว ในยุค O2O Digital Transformation 4.0 ที่ต้องปรับยุทธศาตร์เชื่อมโยงธุรกิจออนไลน์ออฟไลน์ ทันควัน Real time
แผนธุรกิจ แผนการตลาด 5.0 นำธุรกิจท่าน Transform สู่ยุค การตลาด 5.0 อย่างรู้จริง
แผนการตลาด Marketing 5.0
การตลาด5.0 Marketing Transformation

Marketing Transformation
การตลาด 5.0. ที่จริงมันมีความเกี่ยวพันกับยุคการเปลี่ยนแปลงของ Digital Transformation ก่อนที่คนจะรู้จักใช้การตลาด มันคือยุคของการสร้างความแตกต่างบนสินค้าและ ผลิตภัณฑ์ โดยทุกบริษัท เน้นการสร้างนวัตกรรมใหม่ ของใหม่ๆๆในตลาด แบรนด์มีการแตกลูกแตกหลานออกมามากมายจนเต็มพื้นที่ Marketplace ไปหมด อยากจะโตก็ออกผลิตภัณฑ์ใหม่ ซึ่งผมอยากจะขอสรุป ยุคการพัฒนาต่างๆ
ยุคที่ 1. ยุค Innovation การตลาดยุคนี้คือ การออกผลิตภัณฑ์ใหม่ที่ไม่เหมือนเดิม และไม่เหมือนคู่แข่งในตลาด ไม่เคยมีมาก่อนว่างั้นเถอะ ดังนั้นต้องสร้างนวัตกรรม จุดเน้นคือ R&D พัฒนาสินค้าที่แตกต่าง ตัวอย่างเจ้าพ่อในยุคนี้ คือ ไนกี้ แอปเปิ้ลเมื่อแตกต่างขายดี จนคนอื่นๆลอกเลียนแบบ เราก็ต้องไปจนTrade mark กันคนก๊อปปี้ ตอนท้ายๆยุค มีการพัฒนา ขบวนการธุรกิจใหม่ เช่นเติมแต่งบริการ สร้างประสบการณ์ใหม่ สีสัน แฟชั่น สไตล์ ที่เรียกว่าเป็นส่วนเสริมของผลิตภัณฑ์ Augmented ส่วนกลยุทธ์การตั้งราคาแบบไดนามิค ตามฤดูกาลหรือตามความต้องการของตลาด เช่นคนต้องการเยอะ ช่วง High ตั้งราคาสูงแบบธุรกิจโรงแรม สายการบิน
ยุคที่ 2 Informative เป็นยุคข่าวสาร ที่สงครามการตลาดไม่ได้อยู่ที่คุณภาพสินค้าจริงๆเท่านั้นแต่อยู่ที่ใครสร้างภาพและคอนเทนต์ให้คนเชื่อได้ก่อนกัน และไม่สำคัญที่ว่าใครคิดสินค้าใหม่ได้เก่งกว่าหรือคิดก่อน แต่สำคัญที่ว่าใครพูดก่อนและครองพื้นที่ในสมองคนได้มากกว่าที่เรียกว่าการวางตำแหน่งผลิตภัณฑ์ แต่จริงๆคือการวางตำแหน่งครองใจ ในสมองลูกค้าซึ่งการตลาดได้ทุ่มงบโฆษณามหาศาลในยุค Mass Media จากนั้น ยุคดิจิตอลก็มาทดแทนด้วยการปฏิวัติทางอินเทอร์เน็ตให้ง่ายต่อการใช้ด้วยภาษา HTML CSS และ Java Script เว็บไซด์เป็นสิ่งสำคัญ ยุคนี้คือการเข้าสู่ ยุค Digital Transformation ยุคแรก นักการตลาดให้ความสนใจให้คนไปจบที่เว็บหรือ Electronic Brochure ให้ได้ แล้ว Bookmark เว็บเราไว้ เจ้าพ่อในยุคนี้ที่ใครๆต้องพึงพาคือ กูเกิ้ล ที่คุณต้อง ทำให้ติดอันดับ SERP( Search Engine Result page )ด้วยเทคนิค SEO (Search Engine Optimization) คือการทำเว็บให้ติดอันดับต้นๆๆ ยุคนี้ จะเรียกว่า Web1.0ก็มิผิด คือ เป็นการสื่อสารทางเดียวและความหมายของแบรนด์เปลี่ยนไปจาก Trademark เป็น Bookmark เว็บไซด์
ยุคที่ 3. Interactive คือจาก Digital Transformationยุคแรก ไปสู่ ยุคสองคือยุคของ Mobile และ การสื่อสารสองทาง ลูกค้าสามารถโต้ตอบแสดงความคิดเห็น ที่เรียกว่า Web2.0 คือการพูดคุยกันเป็น Social Nertwork หรือชุมชนออนไลน์ การให้ความสนใจต่อคอนเทนต์ คือการสร้าง Engagement ไม่ว่าจะเป็น Look Like Love ที่เรียก Lovemark ในยุคนี้คือการสร้างลัทธิทางการตลาด ต่างๆๆ เพื่อสร้างสาวกให้คนติดตาม ไม่ว่าเป็น แฟนเพจ สาวกผี สาวกหงส์ ซึ่ง Algorithm ของ สื่อสังคมออนไลน์พวกนี้ ไม่ว่าเป็น เฟสบุ้ค ลิงก์อิน อินสตาแกรม ทวิตเตอร์ คือ คอนเทนต์ไหน คนดูชอบ หรือ มีปฏิสัมพันธ์ มาก Like Comment เยอะติดอับดับ แฮทแทค # แทน SEO อัลกอลิธิมของสื่อสังคมออนไลน์พวกนี้ทำให้คนมีแนวโน้มจะเห็นคอนเทนต์ที่ตนเองชอบเท่านั้น จะไม่มีโอกาสเห็นคอนเทนต์ที่ตัวเองไม่สนใจหรือไม่ชอบ จึงทำให้มีการแบ่งขั้ว ทางความคิด และ การเมือง มีทั้งพวก ตามกระแส โหนกระแส และพวกทวนกระแส พวกใครพวกมัน ลัทธิใครลัทธิมัน จนกลายเป็นฮวกเดียวกัน(ไม่ได้พิมพ์ผิด ฮวกเดียวกัน) เจ้าพ่อยุคนี้ที่ใครๆต้องไปพึ่งพา คือ Facebook ที่ทำให้นักการเมืองหลายคนกลายเป็นนายก เป็น ประธานาธิปดี หลายแบรนด์ จ้าง Blogger Micro Influencer KOLที่มีสาวก แฟนคลับในมือ มาทำตลาดให้ มีการ ไลฟ์สด ดึงยอดชม ยอดวิวกัน ตัวอย่างแบรนด์ที่ทำประสบผลสำเร็จคือ ลอรีออล ที่มี บล็อคเกอร์ในสังกัดมากมาย ไลฟ์สดให้

ก้าวสู่ ยุค Immersive ที่ห้อมล้อมด้วย Digital Ecosystem
ยุคที่ 4.Immersive จาก Mobile. สู่ AI เป็นยุคที่เราจมเข้าไปในโลกๆๆหนึ่ง Ecosystem ที่ห้อมล้อมด้วย ระบบให้ความช่วยเหลือ ด้วยระบบการคาดเดาความต้องการของเรา ด้วย AI และมี Machine/Bot เป็นผู้ช่วยเรา ไม่ว่า Image recognition ,Voice Assistance คอยคาดเดา หรือ พยากรณ์ เหตุการณ์ และความต้องการของเรา และให้ข้อเสนอแนะ แบบ อัตโนมัติ โดย Machine ที่เรียกว่า Bot มีระบบสั่งการสมองทำงาน วิเคราะห์ข้อมูล ด้วยAI ยุคนี้สิ่งสำคัญคือ การเก็บข้อมูลการสร้างข้อมูล วิเคราะห์ พยากรณ์ Predictive Model แนะนำ เสนอแนะเรา ทำงานแทนเราได้เอง แบบไร้คนบังคับที่เรียก Automation หรือ Self healing Trend ต่างๆๆเหล่านี้ไม่ว่าเป็น Metaverse AI Platform Digital Ecosystem ที่เป็น Smart city Smart home Smart Workspace รถยนต์EV พลังงานทดแทน Blockchain IoT Quantum Computing ที่เพิ่มขีดความสามารถในการ คาดเดาความต้องการ ทำนายพยากรณ์ ค่อยให้คำแนะนำแทน Blogger จากแค่แนะนำเส้นทางขับรถ ไปเป็นแนะนำให้เราเลือกซื้อสินค้าอย่างมั่นใจ ระบบต่างๆๆเหล่านี้จะมาทดแทน บล็อคเกอร์ และ สื่อสังคมออนไลน์ โดยมันจะแยกเป็น 3 ประเภท
4.1 การสั่งซื้อเติมเต็มแบบซ้ำๆๆ เช่น กาแฟ น้ำดื่ม ในตู้เย็น ผงซักฟอก น้ำยาปรับผ้านุ่มในเครื่องซักผ้า ที่เราซื้อแบรนด์ใดแบรนด์หนึ่งประจำไม่เปลี่ยน มันจะมีออร์เดอร์แจ้งไปยัง ร้านสะดวกซื้อใกล้บ้านอัตโนมัติด้วย Sensor IoT ตรวจเเช็คสต๊อคของ และส่งคำสั่งซื้อเอง ทำให้เราสะดวกสบายขึ้นมีเวลามากขึ้น
4.2 การสั่งซื้อด้วยเหตุผล เช่นเกี่ยวกับสุขภาพ ประกันภัย ธนาคาร การลงทุน มันจะมีข้อเสนอแนะเปรียบเทียบให้เราตัดสินใจ
4.3 การสั่งซื้อด้วยอารมณ์ ตาม บุคคลิก ไลฟ์สไตล์ของเรา มันจะ ตรวจวัด พฤติกรรมในอดีตเราว่าเราชอบอะไร แบบไหน นิสัยเรา และ สถานการณ์ในชีวิตเรา เช่นเราพึ่งซื้อบ้าน พึ่งแต่งงาน พึ่งมีลูก มันจะคาดเดาทำนาย และ ทายทักเรา ให้ข้อเสนอแนะแก่เรา Suggestion เหมือนเราเข้า ลาซาด้า ช้อปปี้ อะเมซอน มันจะเสนอแนะ ผลิตภัณฑ์ให้เรา